โดย ฐานิดา ปิยโชติ  ใน ประชาไท

สถานการณ์ทางการเมืองของไทยยังคงความตึงเครียดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เหตุการณ์ความรุนแรงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งปลุกกระแสชาตินิยมฝั่งขวาและทำคะแนนให้กับกองทัพอย่างท่วมท้น ตามมาด้วยคดีถอดถอนนายกรัฐมนตรีด้วยข้อหาฝ่าฝืนจริยธรรมโดยศาลรัฐธรรมนูญที่ทำให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง

การยื้อแย่งอำนาจระหว่างพรรคการเมืองที่นำไปสู่การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในสภา ซึ่งเป็นที่น่ากังวลว่าพรรคอนุรักษ์นิยมที่สืบทอดมรดกที่หลงเหลือของคณะรักษาความสงบแห่งชาติอาจกลับมาครองอำนาจอีกครั้ง ขณะที่ประชาชนบางส่วนต้องผิดหวังที่นโยบายที่อยู่ในระหว่างดำเนินการของรัฐบาลชุดก่อนต้องหยุดชะงักไปอย่างไม่มีกำหนด รวมไปถึงนโยบายที่หลายฝ่ายกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด ทั้งการเจรจากำแพงภาษีกับสหรัฐอเมริกา หรือความพยายามในการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา

แต่นั่นอาจไม่ใช่ความคืบหน้าเดียวทางนโยบายที่น่าจับตามอง หากไม่ใช่เพราะว่าในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ผู้ลี้ภัยที่อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยมานานกว่าสี่ทศวรรษ ในบริเวณชายแดนทั้ง 9 แห่งของ 4 จังหวัดแนวชายแดนประเทศไทย-เมียนมา เพิ่งได้รับข่าวดีจากการที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบปลดล็อคให้ผู้ลี้ภัยสามารถออกไปทำงานนอกค่ายผู้ลี้ภัยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จากสถานการณ์การยุติงบประมาณสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา

แต่เพียงสามวันถัดมา ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยให้นายกและคณะรัฐมนตรีชุดนี้พ้นสภาพ ทำให้มีการประกาศโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในวันที่ 5 กันยายน  ความปั่นป่วนทางการเมืองเช่นนี้ได้สร้างความกังวลให้กับบรรดาผู้ลี้ภัยที่เฝ้ารอผลลัพธ์ด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมมาอย่างยาวนาน

ในสัปดาห์ที่ผ่านๆ มา ผู้เขียนได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ลี้ภัยในค่าย รวมทั้งหญิงชาวกะเหรี่ยงอายุ 43 ปีรายหนึ่งที่ได้ดูแลลูกทั้งสามคนเพียงลำพังภายหลังสามีของเธอเสียชีวิตลง เธอบอกเล่าถึงการรอคอยอย่างมีความหวังว่าวันหนึ่งจะได้มีโอกาสออกไปทำงานนอกค่าย ภายหลังจากที่มีการประกาศโหวตนายกใหม่ เธอบอกกับผู้เขียนว่า

ผู้คนที่นี่ไม่มีที่ไปแล้ว…ฉันก็กังวลว่าหากเปลี่ยนรัฐบาล นโยบายที่ทำไว้เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยจะเปลี่ยนไปด้วย พวกที่จะทำบัตร [สถานะทางกฎหมาย] ให้ หรือที่จะให้ทำงานข้างนอก การเปลี่ยนรัฐบาลไปมา ก็คิดอยู่ว่าแล้วต่อไปจะเป็นยังไง คนที่นี่ [ในค่าย] ไม่ค่อยดูข่าว พูดภาษาไทยก็ไม่ค่อยได้ ใครจะเป็นรัฐบาลก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องของเรา ฉันไม่ขออะไรหรอก ใครจะขึ้น[เป็นรัฐบาล] ก็ช่าง ขอแค่ได้อยู่ที่นี่ก็พอแล้ว จะห่วงก็แต่อนาคตของลูก

การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของสภาในวันที่ 5 กันยายน นายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย ได้รับเลือกให้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ย้อนกลับไปในช่วงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อนุทินเคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข การบริหารสถานการณ์โรคระบาดบริเวณชายแดนของเขาเป็นที่รู้จักทั้งในแง่บวกและลบ อนุทินได้อ้างถึงความพยายามในการให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมในการแจกจ่ายวัคซีนให้กับชาวเมียนมาบริเวณชายแดน แต่ขณะเดียวกันก็จุดประกายกระแสชาตินิยมที่กล่าวโทษผู้ลี้ภัยและแรงงานข้ามชาติจากเมียนมาว่าเป็นต้นตอของการแพร่เชื้อไวรัส

ปัจจุบันยังแทบไม่มีข้อมูลว่าพรรคภูมิใจไทยมีนโยบายหรือคำมั่นใดที่ชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนหรือสวัสดิการของผู้ลี้ภัย และเป็นที่น่ากังวลว่าพรรคได้รับแรงสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากฝ่ายขวาเช่นนี้ จะยินยอมดำเนินการสนับสนุนผู้ลี้ภัยให้สอดคล้องกับหลักมนุษยธรรมได้มากน้อยเพียงใด

แม้ที่ผ่านมาเราจะเห็นความพยายามของฝ่ายอนุรักษ์นิยมในการมีบทบาททางด้านสิทธิมนุษยชนทางเวทีระหว่างประเทศบ้าง เช่น เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 ที่ประเทศไทยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ แต่ถัดจากนั้นมาเพียงไม่กี่เดือน วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่ทางการไทยก็ได้ผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์จำนวนกว่า 40 รายไปยังประเทศจีน

ประเด็นเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยในประเทศไทยถูกจัดเป็นปัญหาด้าน “ความมั่นคงของประเทศ” อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือ สมช. เป็นหลัก โดยมีนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งประธาน ดังนั้นผู้นำทางการเมืองจึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดกรอบนโยบายที่เกี่ยวกับผู้ลี้ภัย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเช่นมติคณะรัฐมนตรีล่าสุดที่อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยในค่ายสามารถออกไปทำงานได้ แม้มตินี้จะผ่านการนำเสนอโดยรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานผู้เป็นเจ้าของเรื่อง แต่การตัดสินใจและอนุญาตถูกเทน้ำหนักมาที่สมช.ในการพิจารณารับร่าง การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งแล้วครั้งเล่าของประเทศไทยไม่เพียงทำให้การบริหารประเทศขาดความต่อเนื่อง ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่ยังสั่นคลอนความไว้วางใจและความหวังของผู้ลี้ภัยที่มีต่อนโยบายการคุ้มครอง สถานะทางกฎหมาย หรือความคุ้มครองจากการถูกกดปราบที่ยังคงไม่แน่นอน เนื่องจากทุกการเปลี่ยนแปลงอาจก่อให้เกิดคำถามว่านโยบายของรัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีมนุษยธรรมมากขึ้น หรือก่อให้เกิดการกดปราบมากขึ้นกันแน่

รัฐบาลไทยไม่ว่าจะอยู่ภายใต้พรรคการเมืองหรือรัฐบาลผสมชุดใด ควรยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย เคารพสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มที่ และยืนหยัดที่จะคุ้มครองผู้ลี้ภัยอย่างต่อเนื่อง นโยบายที่เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยไม่ควรถูกกำหนดโดยกระแสการเมืองที่ผันผวนหรือผลประโยชน์ทางการเมือง แต่จะต้องตั้งอยู่บนพันธกรณีระหว่างประเทศและความรับผิดชอบด้านมนุษยธรรม ซึ่งขณะนี้นายกรัฐมนตรีอนุทินจำเป็นต้องปฏิบัติตามพันธกิจของประเทศไทยที่มีต่อผู้ลี้ภัยให้เป็นจริง


บทความนี้ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกใน ประชาไท

Stay Updated!


Subscribe to our mailing to receive periodic updates on human rights issues where we work.