โดย พุทธณี กางกั้น ใน ประชาไท
ในช่วงเวลานี้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ได้เปิดเวทีรับฟังความเห็นต่อ “ร่างพระราชบัญญัติป้องกันการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน พ.ศ. ….” หรือที่รู้จักในชื่อคดี “SLAPP” ร่างกฎหมายฉบับนี้ต้องการแก้ไข หรืออย่างน้อยๆ ก็ลดปัญหาการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อคุกคามบุคคลอื่น ซึ่งได้กลายเป็นภัยต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน หรือใครก็ตามที่กล้าพูดความจริงกับผู้มีอำนาจในไทย บุคคลเหล่านี้มักเผชิญกับการถูกฟ้องร้องในคดีหมิ่นประมาท หรือคดีอาญาที่ร้ายแรงอื่นๆ ผู้เขียนเองก็ได้ตกเป็นเหยื่อของการคุกคามโดยใช้กระบวนการยุติธรรมด้วยเช่นกัน
ปลายปี 2563 หมายศาลหนากว่า 100 หน้าได้ถูกส่งมาถึงบ้านของผู้เขียน โดยมีรายละเอียดกรณีที่บริษัทฟาร์มไก่ธรรมเกษตรฟ้องร้องในข้อหาคดีหมิ่นประมาททางอาญา นับตั้งแต่ปี 2559 บริษัทดังกล่าวได้ทำการฟ้องดำเนินคดีอย่างน้อย 37 คดี ต่อบุคคลทั้งหมด 22 คน คดีของผู้เขียนเกี่ยวข้องกับโพสต์โซเชียลมีเดีย 21 โพสต์ ที่แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับเพื่อนๆ นักสิทธิมนุษยชนที่ถูกบริษัทเดียวกันฟ้องดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้แล้ว เป็นเวลา 4 ปี หลังจากที่ได้รับหมายศาล คดีแรกนี้ (และหวังว่าจะเป็นคดีสุดท้าย) ซึ่งเป็นคดี SLAPP หรือการคุกคามโดยใช้กระบวนการยุติธรรม ได้ถูกศาลชั้นต้นยกฟ้องทั้งหมดทุกข้อหา
แม้จะเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ชัยชนะต้องแลกมาด้วยความรู้สึกรำคาญใจ ความกลัว ความสิ้นหวัง และความโกรธ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเวลา พลังงาน และเงินทองที่ต้องสูญเสียไปเพื่อต่อสู้คดี แต่โชคไม่ดีนัก ยังมีอีกหลายคนที่ต้องเผชิญกับฝันร้ายแบบเดียวกัน ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 และ 328 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ หรือ พ.ร.บ.คอมฯ มักถูกใช้เพื่อคุกคามผู้ที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่น การศึกษาขององค์การสหประชาชาติเมื่อเร็วๆ นี้พบว่าระหว่างปี 2540 ถึง 2565 มีบุคคลกว่า 400 คน ตกเป็นเหยื่อของการฟ้องคดีปิดปากในจำนวนทั้งหมด 109 คดีในประเทศไทย โดยผู้ฟ้องเป็นทั้งบริษัทเอกชนและหน่วยงานของรัฐ และเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นนักสิทธิมนุษยชนและผู้สื่อข่าว
แทนที่จะคุ้มครองนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนและแกนนำชุมชนที่เปิดโปงปัญหาการทุจริต การทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลง และอาชญากรรมที่ก่อโดยเอกชนและบุคคลทั่วไป กฎหมายไทยมักอนุญาตให้ผู้ที่กระทำการละเมิดต่อประเด็นต่างๆ เหล่านี้ สามารถใช้กฎหมายปิดปากผู้วิจารณ์ โดยการฟ้องหมิ่นประมาททั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอัน และผู้ถูกฟ้องก็ต้องเสียเวลาและเงินจำนวนมากในการต่อสู้คดี
หลังจากที่คดีฟ้องปิดปาก หรือ SLAPP ได้ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วนของสังคม ผู้เขียนคงไม่ไช่คนเดียวที่ตื่นเต้นที่จะได้อ่านร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้ ซึ่งจะหนุนให้เกิดพลวัตใหม่ๆ และเมื่อพิจารณาในเบื้องต้น ก็พบว่าร่างกฎหมายนี้มีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองการแสดงความเห็นโดยสุจริต และเป็นไปเพื่อ “ประโยชน์สาธารณะ” และเปิดโอกาสให้มี “การอ้างประโยชน์สาธารณะ” เป็นข้อต่อสู้ในคดีหมิ่นประมาท ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาคดีฟ้องปิดปาก ร่างกฎหมายนี้ยังให้อำนาจกับพนักงานอัยการและผู้พิพากษาที่จะยกคำร้องคดีปิดปากก่อนที่จะเข้าสู่ชั้นของการพิจารณาคดี หากเห็นว่าการฟ้องเป็นการใช้กระบวนการยุติธรรมอย่างมิชอบ หากมีการนำกฎหมายนี้มาบังคับใช้อย่างจริงจัง มาตรการเหล่านี้ย่อมจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาแบบที่เคยเกิดขึ้นกับผู้เขียนและคนอื่นๆ
แม้ว่าร่างกฎหมายใหม่นี้จะให้การคุ้มครองใหม่ๆ แต่กลับไม่ยกเลิกโทษอาญาต่อข้อหาหมิ่นประมาทในเกือบทุกประเภท ซึ่งนั่นแปลว่าผู้ที่ถูกฟ้องคดีในหมิ่นประมาท ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกคุมขังและมีประวัติอาชญากรรมติดตัวไปตลอดชีวิต นี่เป็นข้อบกพร่องสำคัญของร่างกฎหมายนี้ เพราะทำให้กฎหมายไทยที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาท จะยังคงขัดแย้งกับหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศต่อไป หากไม่มีการแก้ไขจุดอ่อนนี้ ทุกครั้งที่มีการฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาท ประเทศไทยก็ยังคงละเมิดพันธกรณีทางกฎหมายระหว่างประเทศต่อไป ซึ่งมันอาจไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่อะไรสำหรับไทย
นอกจากนั้น ร่างกฎหมายนี้ไม่ได้นิยามคำว่า “การดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน” หรือ SLAPP ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาท้าทายสำหรับศาลและพนักงานอัยการในการวินิจฉัยและหาทางป้องกันต่อการฟ้องคดีลักษณะเดียวกันนี้ นอกจากนั้น ร่างกฎหมายนี้ยังให้ความสำคัญเฉพาะกฎหมายหมิ่นประมาทตามหลักกฎหมายอาญาและแพ่ง แต่ไม่ครอบคลุมถึงกฎหมายอื่นที่ถูกใช้เพื่อคุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งรวมทั้งพรบ.คอมฯ ที่ถูกนำมาใช้เป็นประจำ นอกจากนั้น ร่างกฎหมายนี้ยังไม่สามารถป้องกันกลยุทธ์ที่โจทก์มักนำมาใช้เมื่อมีการฟ้องคดีปิดปาก เช่น การอนุญาตให้มีการฟ้องหลายกรรมต่อข้อความในโซเชียลมีเดียชิ้นเดียวกันแต่โพสต์หลายวาระ หรือในหลายแพลตฟอร์ม หรือยุทธวิธีการฟ้องคดีในศาลหลายๆ จังหวัด เพื่อที่จะสร้างความยากลำบากให้กับนักกิจกรรมทางสังคมที่ถูกฟ้องจากการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
แต่แม้จะมีข้อบกพร่องเหล่านี้ ผู้เขียนและเพื่อนนักปกป้องสิทธิมนุษยชนก็ยังมีความหวัง และเชื่อว่าร่างกฎหมายนี้ ซึ่งหากมีการแก้ไขเพิ่มเติมอย่างเหมาะสม จะช่วยยุติการฟ้องคดีปิดปากอย่างมิชอบ และยุติการที่เราต้องตกเป็นเหยื่อของการฟ้องปิดปากอันเป็นประวัติศาสตร์ที่ขมขื่นของประเทศไทย ขั้นตอนต่อไป ร่างกฎหมายนี้จะผ่านเข้าสู่กระบวนการรับฟังความเห็นของประชาชนทางออนไลน์ ก่อนที่จะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ผู้เขียนจะติดตามกระบวนการตรากฎหมายนี้จนถึงวันที่ได้ประกาศใช้ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากฎหมายใหม่นี้จะช่วยยุติการคุกคามด้วยกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยได้จริง และนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนจะได้รับการคุ้มครอง แทนที่จะต้องตกเป็นเหยื่อการคุกคามด้านกฎหมาย รวมทั้งการฟ้องคดีปิดปากอย่างสม่ำเสมอ